ไชคอฟสกี้ - ดุริยกวีอัประมาณ
ผมเริ่มรู้จักไชคอฟสกี้พร้อมกับระบบสเตริโอครับ เมื่อพ่อซื้อวิทยุเครื่องเล่นจานเสียงในตัว เรียกว่าคอนโซล ยี่ห้อชาร์ป ลอเรนซ์ ใหม่เอี่ยมเข้าบ้าน และจานเสียงอีกหลายแผ่น พ่อสาธิตการใช้เครื่อง เพราะรู้ว่าลูกๆซน อย่างไรมันก็แอบมาเล่น สู้สอนเสียเลยดีกว่า เครื่องจะได้ไม่เสีย ชี้ให้เห็นว่าเสียงที่มาจากลำโพงสองข้างนั้นไม่เหมือนกัน มันให้มิติ ความกว้างความลึกของเวที แล้วพ่อก็วางแผ่นเสียง (เพราะวิทยุสมัยนั้นยังไม่มีสเตริโอ) ของไชคอฟสกี้ เป็นเพลงจากบัลเล่ต์เรื่อง Swan Lake หน้าสองคือ Sleeping Beauty หน้าปกมีรูปเวทีบัลเล่ต์และคนเต้น เด็กปานนั้นผมยังอ่านหลังปกไม่ออก และหนังการ์ตูน “เจ้าหญิงนิทรา” วอลท์ ดิสนีย์ยังไม่ได้สร้าง พ่อเล่าทั้งสองเรื่องให้ฟังย่อๆ ผมเปิดฟังได้เองบ่อย แต่ทั้งสองหน้านั้น ผมชอบ Swan Lake มากกว่า เพราะเข้าใจว่าเรื่องทำนองเดียวกับ “พระสุธนกับมโนราห์” ของไทย ทำนองและบทเพลงทั่วไปฟังง่าย เห็นภาพได้ชัดกว่าอีกเรื่อง ยังไม่ได้มีอคติกับเรื่องเจ้าหญิงนิทรา แค่ได้ยินชื่อเรื่อง ก็พาง่วงเหงาหาวนอนเสียแล้ว
โตขึ้นมาจึงรู้จักผลงานไชคอฟสกี้มากขึ้น เช่น 1812 Overture ไปได้ดูคอนเสิร์ตถึงโรงเมทที่นิวยอร์ก และทางวิทยุ หรือแผ่นเสียงที่ซื้อเอง มีอยู่พักหนึ่งฟังบ่อยจนใกล้เลี่ยน มารู้ภายหลังว่า ไชคอฟสกี้เองก็เลี่ยน ไม่ได้อยากแต่งเท่าไหร่ ถ้าไม่ใช่แรงรบเร้าของนิโกลัย รูบินสไตน์ ผู้เป็นทั้งเพื่อนและครูที่ปรึกษา อะไรไม่ว่า เป็นน้องของอาจารย์ใหญ่ที่ต้องเกรงใจ ใช้เวลาแต่งแค่เดือนครึ่งใน เม.ย.1881 ก็เสร็จ ไชคอฟสกี้บ่นกับแม่ยก Nadezhda von Meck (เรื่อง “แม่ยก” ของนักดนตรีเอกนี่น่าสนใจไม่น้อย และสมควรลงรายละเอียดไว้อีกบทหนึ่ง มิใช่หรือ) ว่า “ผมไม่ใช่มือรับจ้างเขียนเพลงงานวัดนะ แต่งตามโจทย์ไปงั้นๆ โหมโรงบทนี้จึงทั้งดังและหนวกหูสิ้นดี ไม่เสนาะเป็นสับปะรด ก็เพราะผมไม่ได้เขียนด้วยความซาบซึ้งหรือพิศวาสอะไรด้วยเลย” นี่แหละ เข้าตำหรับศิลปินยิ่งใหญ่ทั้งหลายพอดี เพราะเพลงที่แต่งทั้งไม่ชอบนี้ ทำเงินให้ตระกูลจากค่าลิขสิทธิ์ทั้งแสดงสดและบันทึกเสียงขายมากที่สุดในโลก
เพลงไพเราะของไชคอฟสกี้อีกเพลงที่จับใจผมมากที่สุดคือ Serenade for Strings in C major ซึ่งแอบเขียนขึ้นมาในช่วงเดียวกับที่เขียน 1812 นัยว่าแก้เซ็ง ถือเป็นงานฝิ่น ของชอบส่วนตัว อยากได้อะไรที่ง่าย ไม่ต้องลึกซึ้ง ได้อิงหลักนิยมคลาสสิกตะวันตก มากกว่าจะลุกขึ้นมาตามที่ลัทธิชาตินิยมเรียกหาอย่าง “แก๊งห้าเสือ” ซึ่งกำลังมาแรงในสมัยนั้น ไชคอฟสกี้ลงมือ ‘เล่น’ กับบทนี้เพื่อแสวงหาแนวร่วมระหว่าง String Quartet กับ Symphony ผลลัพธ์ที่ได้คือเพลงที่แจ่มใสเจิดจรัส เป็นสำเนียงของศตวรรษที่ 18 ผสมผสานกับบาโร๊ค ด้วยลีลาของโมสารทและไฮเด้น ท่อนกลางจังหวะวอลท์ซหวานแหววที่เจ้าตัวถนัดจากเพลงบัลเล่ต์ที่แต่งมาแล้ว
หรือเพลงตับที่เด็กๆฟังแล้วชอบได้ง่าย คือ ตับจากบัลเล่ต์เรื่อง The Nutcracker สององก์ เพลงเพราะทั้งนั้นเลย อาทิ March-Dance of the Sugar Plum Fairy-Trepak (Russian Dance)-Arabian Dance-Chinese Dance-Dance of the Reed Flutes-Waltz of the Flowers ฯลฯ เพลงนี้ใช้เวลาแต่งปีกว่า คือ กุมภา 91 ถึง เมษา 92 เป็นช่วงหลังของไชคอฟสกี้ และถือเป็นงานชิ้นโบว์แดงในแง่การใช้เครื่องดนตรีแต่ละชิ้นแต่ละประเภทให้โดดเด่นขึ้นมา เช่น ระบำรัสเซียนั่น ใช้วงใหญ่ แต่เครื่องสายใช้เฉพาะ high string ซอเสียงสูง คือแค่ไวโอลินและวิโอล่าเท่านั้น เชลโล่และเบสไม่ได้ใช้ เพลง ระบำน้ำชา Chinese Dance ขึ้นมาเน้นๆกับบาสซูนเป็นจังหวะ ขลุ่ยฟลูทเล่นทำนองหลักน่ารัก เสียงสูงปรี๊ด ท่อนหลังของเพลงสั้นๆนี้ แคลริเนทกับเบสแคลริเนท เล่นประสานเสียงกลางคู่กับเสียงต่ำมากเป็นทางประกอบ ถ้าดูสกอร์จะเหมือนพัดคลี่แผ่อย่างไงอย่างงั้น ดูอีกทีเหมือนกับผีเสื้อบินไม่มีผิด คือไล่ขึ้นบนลงล่างเร็วมาก
ผลงานคุ้นหูคนไทยมากคือ Violin Concerto in D major นัยว่าเป็นหนึ่งในสามที่นิยมกันมากที่สุด และตั้งแต่เด็กก็ได้ยินในเพลงไทยชื่อ “ม่านไทรย้อย” นำเอาทำนองมาใส่เนื้อร้อง “ลืม ลืมหมดแล้วหรือไร...” นั่นแหละครับ ทำนองหวานมากจนใครก็อดจะฮัมเวลาคิดถึงความรักไม่ได้ ซึ่งเพลงบทนี้ ไชคอฟสกี้แต่งหลังจากพักฟื้นเยียวยาทั้งร่างกายและจิตใจแล้ว ไปเที่ยวริมทะเลสาบเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ในปี 1878 กับเพื่อนและลูกศิษย์ที่กำลังเรียนไวโอลินอยู่ด้วย เกล็ดของเพลงนี้มีอยู่ว่า ไชคอฟสกี้เขียนเสร็จก็ส่งพิมพ์ หน้าปกมีอุทิศให้นักไวโอลินคนหนึ่ง แต่คนเล่นลังเลอ้ำอึ้ง เพราะจะขอแก้บางประโยคที่ต้องใช้เทคนิคการเล่นยากเกินควร แสดงออกโรงครั้งแรกที่เวียนนา เมื่อ 4 ธันวาคม 1881 จึงไปให้อีกคนเล่น แต่สกอร์ฉบับพิมพ์ยังมี “อุทิศแด่...” ในชื่อคนเดิมอยู่ จนพิมพ์ครั้งที่สองจึงเปลี่ยนเป็นคนเล่นครั้งแรก ออกแสดงครั้งแรกถูกวิจารณ์โขกสับแทบไม่เหลือชิ้นดี ว่า “บาดหูเหลือกำลังรับ... ท่อนสุดท้ายกลิ่นสาบรัสเซียหึ่งเชียว... เป็นครั้งแรกที่ไวโอลินถูกข่มขืนบีฑา...” เหมือนกับที่จิมมี่ เฮ็นดริกส์ ทำกับกีตาร์ของตนในสมัย 70 นี่แหละ จนปี 1905 กว่าคอนแชร์โตบทนี้จะเป็นที่ยอมรับกัน กลิซซันโดโด่งค้างฟ้าคานภาโสต
ผลงานอันเปรียบเสมือนเม็ดมณี หรือร้านขนมของเด็กๆมาสองศตวรรษนี้ น่าจะขัดแย้งกับหัวข้อเรื่องใช่ไหมครับ ใช่แล้ว เดิมตั้งใจจะให้ชื่อว่า ดุริยกวีอัปภาคย์ หรือ ดุริยกวีอัปยศเสียด้วยซ้ำ แต่ความหมายมันไม่ตรงครับ ไชคอฟสกี้แกไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ แล้วก็ไม่ได้ชั่วช้าปานนั้น เพียงแค่มีพฤติกรรมน่าอับอาย โดยเฉพาะสำหรับสังคมผู้ดี ไม่ว่ายุคไหนก็ตาม และกว่าชื่อเสียงแกจะโผล่พ้นน้ำเน่าของวงการนักวิจารณ์ ซึ่งรุมหัวกระหน่ำแกไม่ให้เป็นผู้เป็นคน สาเหตุลึกไม่พ้นความผิดที่ผลงานแกดังมาก ดังนาน และดังเกินขนาดที่สื่อมวลชนจะรับได้นั่นเอง ผลคือความสาหัสถึงกับต้องพึ่งจิตบำบัดสากรรจ์
ประวัติของไชคอฟสกี้สรุปได้ว่า ไชคอฟสกี้ไม่ได้อาภัพหรืออนาถา พ่อเป็นผู้จัดการโรงถลุงเหล็กใหญ่โตของรัสเซีย ด้วยคุณวุฒิวิศวกรเหมืองแร่ แม่เป็นลูกผู้ดีมีการศึกษา เสียตั้งแต่เขาอายุสิบสี่ พ่อส่งเข้าโรงเรียนเอกชนที่เมืองเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก ได้เรียนเปียโนเช่นเด็กใน ‘สังคม’ แม่ส่งเข้าเตรียมนิติศาสตร์ สอบผ่านเข้าโรงเรียนนิติศาสตร์ ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำตั้งแต่ 1850-59 (พฤติกรรมรักร่วมเพศจนเสื่อมเสียทั้งชีวิต ก็รับมาจากโรงเรียนกินนอนนี้แล) ระหว่างเรียนกฎหมาย ได้เป็นนักร้องนำเสียงโซปราโน วงประสานเสียงในโบสถ์ประจำโรงเรียน เมื่อจบแล้วไม่ได้สอบเนฯ แต่เข้าเป็นเสมียนในกระทรวงยุติธรรม ซึ่งไม่แปลกที่ไชคอฟสกี้ไม่ได้ไปเข้ากระทรวงวัฒนธรรม เพราะอารยประเทศทั้งหลายนั้น เขาถือว่าวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่สั่งสมและประพฤติตั้งแต่คนชั้นรากหญ้าขึ้นไปจนถึงระดับยอดของสังคม เป็นลมหายใจเข้าออกที่ไม่ต้องเอามากำหนดเป็นอัตตา มียางอายจนไม่ต้องตั้งเป็นกระทรวง ชื่อว่ากระทรวงวัฒนธรรม
เมื่อเรียนจบฐานะทางครอบครัวยอบแยบ ไชคอฟสกี้เป็นเสมียนอยู่สี่ปีหาเลี้ยงตัวเอง โชคช่วยให้ได้เพื่อนดี พาไปเที่ยวยุโรปและชวนกันไปเรียนดนตรี เป็นศิษย์รุ่นหนึ่งของ St Petersburg Conservatory ปี 1863 จึงลาออกจากเสมียน มาเรียนวิชา Harmony Counterpoint Composition และ Instrumentation ระหว่างนั้นก็หารายได้ไปด้วย จากการสอนพิเศษเปียโนและทฤษฎีดนตรีเบื้องต้นให้เด็กที่อาจารย์ใหญ่ส่งมาให้ กว่าจะได้รับประกาศนียบัตรก็เยิ่นเย้อพอสมควร เพราะไม่เคยทำอะไรได้ถูกใจอาจารย์ใหญ่ คือ Anton Rubinstein เลย ใบระเบียนลงวันที่ 11 เม.ย.1870 ระบุผลการศึกษาว่า ทฤษฎีและการจำแนกใช้เครื่องดนตรี-ดีเลิศ ออร์แกน-ดี เปียโน-ดีมาก การอำนวยเพลง-พอใช้ แต่ที่น่าแปลกใจ ยังความปลาบปลื้มมิรู้ลืมแก่ไชคอฟสกี้ก็คือ เขาได้รับเหรียญเงินสดุดี ซึ่งตั้งแต่เปิดสถาบันมาจนบัดนั้น ยังไม่มีใครได้ถึงเหรียญทอง
จากนั้นได้สอนต่อในสถาบัน มีฐานะพอสมควร ได้เข้าสังคมหรูหรา เคยหลงรักผู้หญิงหัวปักหัวปำ เพราะเธอเป็นนักร้อง อกหักไปตามระเบียบครับ แล้วลูกศิษย์สาวเกิดมาขอแต่งงานด้วย ไม่รู้อะไรทำให้ตกปากรับคำ แต่แต่งอยู่กันโดยไม่มีอะไรกันได้แค่ยี่สิบวันก็สติแตก หนีกระเซอะกระเซิงไปบำบัดแล้วรุดถึงประเทศสวิส โชคชะตาบิดผัน ช่วงเดียวกับที่ถูกขอแต่งงาน เขาได้นารีอุปถัมภ์ ชื่อ Nadezhda von Meck หญิงหม้ายจากสามีวิศวกรรถไฟระดับอัครมหาเศรษฐี เป็นแม่ยกที่ไม่เจอหน้ากันเลย ใช้จดหมายเป็นสื่อ ซึ่งเธอได้ปลอบประโลมจนไชคอฟสกี้หายเดี้ยง และกลับไปทำงานสำคัญที่คั่งค้างขณะนั้นจนจบ เป็นประกาศนียบัตรแห่งชีวิต คือ มหาดุริยะกาพย์หมายเลข 4 งานซึ่งฉายอารมณ์ลุ่มลึก แตกต่างกับเพลงหวานแหววทั้งหลายโดยสิ้นเชิง นี่แหละครับ จึงเป็นที่มาของฉายา ที่ผมให้ไชคอฟสกี้เป็นส่วนตัว
ไชคอฟสกี้นั่นรักและบูชาโมสารทครับ แกเริ่มพบรักเอาดนตรีเป็นชีวิตจิตใจตั้งแต่อายุ 5 ขวบ เมื่อได้ฟังอุปรากร ดอนโจวานนี่ ของโมสารท จากเครื่องออร์เคสตรีนา (ตู้เครื่องกลดนตรีประดิษฐ์จากท่อออร์แกน หลักการเดียวกับนิ้งหน่องไขลาน) เมื่อเป็นวัยรุ่นจึงได้ไปดูอุปรากรเต็มตาที่เซ็นต์ปีเตอรสเบิร์ก และค้นพบว่า ตัวเองมีพันธสัญญากับดนตรีการ แต่งเพลงยิ่งใหญ่ออกมาได้ส่วนหนึ่ง ก็ด้วยความรักอุทิศแด่โมสารทนี่เอง
แต่จากอัตชีวประวัติ เขียนตั้งแต่ 1889 เพิ่งค้นพบในปี 2002 เราจึงได้เริ่มเห็นอะไรแจ่มชัดขึ้นมา ไชคอฟสกี้เขียนไว้ว่า “(ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา) เรามักจะเล่นเพลงจากดอนโจวานนี่เที่ยวแล้วเที่ยวเล่า หรือไม่ก็ฝึกนิ้วกับเพลงโชว์ดาดๆ มีบางครั้งบางคราที่จะเล่นซิมโฟนี่ของ เบโธเฟ่น แบบพินิจ แปลกนะ เล่นทีไรมันทำให้เรารู้สึกสลด ซึมเศร้าไปเป็นอาทิตย์ ตั้งแต่นั้น เราจึงเร่าร้อนจะแต่งซิมโฟนี่แบบนี้บ้าง เป็นความอยากที่ปะทุขึ้นทุกครั้งที่เข้าไปสัมผัสกับดนตรีของเบโธเฟ่น แต่ทว่า เมื่อรู้สึกเช่นนั้น เราก็อดหดหู่ไม่ได้ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าเรามือไม่ถึง ไม่มีเทคนิคด้านการแต่งระดับนั้น จึงให้เกิดท้อแท้เหลือประมาณ”
นี้คือเจตวาจา ว่าเป็นดุริยะกาพย์ของเบโธเฟ่นนั่นแล้ว ที่จุดประกายให้ไชคอฟสกี้หนุ่ม ลุกขึ้นมาเขียนเพลงของตัวเองมาดใหม่ มิใช่เอาแต่หลบฉากหนีชีวิตจริงไปวันๆ กับอุปรากรของโมสารท เป็น ‘โทมนัส’ เกาะกินใจแกไปตลอดชีวิต ซึ่งจะแผลงฤทธิ์ขึ้นมาทุกครั้งที่ได้แว่วเพลงของเบโธเฟ่น ความข้อหนึ่งที่ฝังใจมาตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าเรียนดนตรีเป็นเรื่องเป็นราว ถึงจะเก่งเปียโน และเคยแต่งเพลงกับน้องตั้งแต่ตัวอายุสี่ขวบ แต่งเพลงอุปรากรและวอลท์ซสำหรับเปียโนตอนยังเรียนนิติฯ แต่เมื่อไปได้ยินดุริยะกาพย์หมายเลข 5 ของเบโธเฟ่น ข้อความของผู้แต่ง ที่ว่า “คือรันทดฝืนฝ่าชะตากรรม จำแต่ดิ้นไขว่หาวราพร tragic struggle with fate and striving after unattainable ideals” ซึ่งบาดลึกกินใจดุริยกวีร่วมรุ่น ปะทุดุริยะกาพย์เภทเดียวกัน เช่น ชูเบิร์ต (Unfinished) บราหมส์ (หมายเลข 1) เบลิออซ (Symphonie fantastique) ฯลฯ
ในขณะที่รักหลงใหลบูชาโมสารทนั้น ไชคอฟสกี้นมัสการเบโธเฟ่นเช่น “ยะโฮวา” แห่งพระคัมภีร์เก่า หรือ พุทธิเทพนั้นเทียว ครั้นได้ศึกษางานของเบโธเฟ่นทั้งๆที่แหยง มากเข้าๆ ก็แพ้ทาง แม้จะถือห่างอย่างสะพรึงกลัว เคยเริ่มเขียนรวบรวมหนังสือชื่อ Beethoven and his Time ไว้ตั้งแต่ 1873 แต่ไม่จบ คำวิเศษณ์และคำนามที่พาดพิงถึงเบโธเฟ่นมีแต่คำว่า colossal titanic giant infallible ฯลฯ เคยเทียบเบโธเฟ่นเสมอมิเคลังเจโลถึงระดับปูชนียะศิลปิน และเหนือความคิดความฝันว่าจะเหยียบย่างทับรอยเท้าได้
ถึงอย่างไร ไชคอฟสกี้ก็ไม่พ้นชะตากรรมเดียวกับสหายท้ายสองย่อหน้าก่อนนั้น แม้จะได้ชื่อเสียงเกินพอจากอุปรากรและเพลงลำนำ (Program music เพลงมีเนื้อหาเรื่องราวประกอบ) และปลอบใจตัวเองเสมอมา ว่าคนเขียนเพลง ไม่ว่าเบโธเฟ่นหรือชูมานน์เขาก็ทำกัน เพื่อเปิดทางสู่ผู้ฟังที่หลากหลาย ไม่ปิดตัวเองอยู่กับงานดุริยางค์ศิลป์ หมกมุ่นอยู่กับเพลงบรรเลง ‘เอาเรื่อง’ ถ่ายเดียว
ที่สำคัญ ไชคอฟสกี้พบว่า ตนเองนั้นอัปภาคย์ไม่แพ้เบโธเฟ่น จากชะตาชีวิตที่เล่นกลพ้นทางรอดเสมอมา เช่น เป็นกำพร้าตั้งแต่เด็กเหมือนตัว ไม่เคยสมหวังด้านชีวิตรักหรือครอบครัว ถูกวงการและสังคมรุมต่อต้าน และอื่นๆอีกหลากหลาย สุดท้ายจึงนั่งลงแต่ง Fourth Symphony ด้วยใจระทึกพลันจนได้ ตามจดหมายถึงแม่ยกฉบับ พฤษภา 1877 ว่าได้เริ่มเขียน เพราะอดรนทนไม่ได้แล้ว ให้รู้สึกประหวั่นขวัญแขวนถ้าละราไปทำอย่างอื่น แล้วกาพย์บทนี้ก็ดำเนินไปอย่างทุลักทุเล เป็นวิบากกรรมแสนสาหัส กว่าจะร่างวางเค้าโครงเสร็จ ลงสีสันลายเส้นเสียง พร้อมเครื่องเคียงลีลาจังหวะกำกับ 29 ธันวา ก่อนสิ้นปี ส่งสกอร์ต้นฉบับไปพิมพ์ที่มอสโคว์ ได้ออกแสดงครั้งแรกเมื่อ 10 กุมภา 1878 อำนวยเพลงโดยนิโกลัย รูบินสไตน์เพื่อนรัก ประสบความสำเร็จล้นหลาม
ด้วยความโล่งอก ที่ได้ฟันฝ่าพ้นพันธนาการทางปัญญาและอารมณ์ได้สำเร็จ ถือเป็นงานชิ้นเอกของตน เสมอ พุทธิเทพ เสมอเพื่อนร่วมวงการและคู่แข่งอย่างบราหมส์
แต่สุขใดไหนจะเหมือน เมื่อแม่ยกเขียนจดหมาย ลง 27 กุมภา ว่า “ฉันดีใจและปลื้มใจมาก ที่ได้เห็นงาน ‘ของเรา’ พ่อเปียแก้วตาดวงใจของฉัน ฉันเป็นสุขกับเธอ ดุริยกวีสมบูรณ์แบบ ที่ได้นำเอาโมหะ โกรธา ความเจ็บปวดคั่งแค้นและวิพากษ์สาธารณ์ทั้งหลายของโลก แปรเปลี่ยนมาเป็นผลงานเอมอิ่มพิสุทธิ์เช่นนี้ สมแล้วกับที่ฉันแลเห็นเธอ เช่นภาพลักษณ์ดุริยกวี ยอดศิลปินแห่งยุคโรแมนติค ที่ฉันชื่นชมเสมอมา”
ดนัย ฮันตระกูล
10 ก.ย. 2553
|